แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ซ่อมรถโฟล์คลิฟท์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ซ่อมรถโฟล์คลิฟท์ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

hall senser


แม่เหล็ก (magnet) เป็นสิ่งที่สามารถดูวัสดุบางชนิดได้ เช่น เหล็ก นิกเกิล โคบอลต์ เป็นต้น การที่แม่เหล็กดูดสารบางอย่างได้ เนื่องจากมีสนามแม่เหล็ก (magnetic field) ในบริเวณโดยรอบแม่เหล็ก เราสามารถตรวจสอบว่าบริเวณใดมีสนามแเม่เหล็กหรือไม่ โดยใช้เข็มทิศ แต่เราไม่สามารถทราบได้ว่ามีค่าเท่าใด นักวิทยาศาสตร์พยายามวัดสนามแม่เหล็กด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันเราสามารถวัดสนามแม่เหล็กได้สะดวกและรวดเร็วโดยใช้ตัวรับรู้ฮอลล์ (Linear Hall sensor) ซึ่งทำงานโดยอาศัยหลักการของปรากฏการณ์ฮอลล์ (Hall effect) ตัวรับรู้ฮอลล์เป็นวงจรรวมที่ทำให้เกิดความต่างศักย์ซึ่งเป็นสัดส่วนตรงกับความเข้มของสนามแม่เหล็กที่ผ่านในแนวดิ่ง เมื่อนำตัวรับรู้ฮอลล์ไปต่อกับโวลต์มิเตอร์ แล้วนำไปวางใกล้บริเวณที่มีสนามแม่เหล็กก็จะทำให้ทราบค่าความเข้มของสนามแม่เหล็กได้ 

ตัวรับรู้ฮอลล์ (Linear Hall sensor)


รูปที่ 1 ตัวรับรู้ฮอลล์
ตัวรับรู้ฮอลล์เป็นวงจรรวม มีขนาดและลักษณะดังรูปที่ 1 และมีสมบัติดังนี้
input voltage 4.5-6V
offset voltage 2.5 V (ประมาณ)
sensitivity 13 V/T
เมื่อต่อแหล่งจ่ายไฟกระแสตรงหรือเซลล์ไฟฟ้า 4.5-6 โวลต์ เข้ากับขา 1 และขา 2 และ ต่อโวลต์มิเตอร์เข้ากับขา 2 และขา 3 ดังรูปที่ 2 โวลต์มิเตอร์จะแสดงค่าประมาณ 2.5 โวลต์ ค่านี้เป็นความต่างศักย์ขณะที่ไม่มีสนามแม่เหล็ก เรียกว่า offset voltage ค่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยขึ้นอยู่กับโวลเตจของแหล่งจ่ายไฟกระแสตรงที่ต่อกับขา 1 และขา 2 แต่จะมีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของโวลเตจของแหล่งจ่ายไฟกระแสตรง 


รูปที่ 2 การต่อตัวรับรู้ฮอลล์กับแหล่งจ่ายไฟกระแสตรงและโวลต์มิเตอร์


รูปที่ 3 การวัดความเข้มของสนามแม่เหล็ก
เมื่อนำแม่เหล็กเข้าใกล้ active area ของตัวรับรู้ฮอลล์ ความต่างศักย์จะมีค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับทิศของสนามแม่เหล็ก กล่าวคือถ้านำขั้วใต้เข้าใกล้ ความต่างศักย์จะมีค่าเพิ่มขึ้น แต่ถ้านำขั้วเหนือเข้าใกล้ ความต่างศักย์จะมีค่าลดลง ความต่างศักย์ที่เปลี่ยนไปมีความสัมพันธ์กับความเข้มของสนามแม่เหล็กหรือความหนาแน่นฟลักซ์แม่เหล็ก (magnetic flux density) ดังนี้
B = (Vout (B) - Vout (O) ) S-1
เมื่อ Vout (O) เป็นความต่างศักย์ขณะไม่มีสนามแม่เหล็ก
Vout (B) เป็นความต่างศักย์ขณะมีสนามแม่เหล็ก
S เป็นสัมประสิทธิ์ความไว มีหน่วยเป็นโวลต์ต่อเทสลา (V/T)

สำหรับตัวรับรู้ฮอลล์ที่ใช้ในบทความนี้ S = 13 V/T
B เป็นความเข้มของสนามแม่เหล็ก หรือความหนาแน่นฟลักซ์แม่เหล็ก มีหน่วยเป็นเทสลา (T)
ตัวรับรู้ฮอลล์สามารถวัดสนามแม่เหล็กในบริเวณใกล้แม่เหล็กถาวร สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นบริเวณปลายโซเลนอยด์และสนามแม่เหล็กใกล้เส้นลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านได้ 

ปรากฏการณ์ฮอลล์ (Hall Effect)
ใน ค.ศ. 1879 เอ็ดวิน ฮอลล์ (Edwin Hall) นักศึกษามหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพคินส์ ซึ่งในขณะนั้นมีอายุ 24 ปี ได้พบว่า เมื่อนำแผ่นตัวนำบางที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านไปวางไว้ในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก พาหะประจุ (charge carriers) ในตัวนำสามารถเบนไปจากแนวทางเดิมได้ และการเบนนี้มีผลทำให้เกิดสนามไฟฟ้าในตัวนำบางในทิศตั้งฉากกับทั้งกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก การค้นพบนี้เรียกว่า ปรากฏการณ์ฮอลล์ 


รูป 1 ก-ค แสดงการเกิดปรากฏการณ์ฮอลล์
การเกิดปรากฏการณ์ฮอลล์อาจอธิบายได้โดยใช้รูป 1 ก-ค ดังนี้
รูป 1 ก แสดงแผ่นตัวนำบางที่มีความกว้าง d หนา t และมีกระแสไฟฟ้า (conventional current) I ผ่านในทิศจากด้านซ้ายไปด้านขวา พาหะประจุคืออิเล็กตรอนเคลื่อนที่ (ด้วยอัตราเร็วลอยเลื่อน Vd) ในทิศตรงข้ามกับกระแสไฟฟ้า I จากด้านขวาไปด้านซ้าย
รูป 1 ข เมื่อใส่สนามแม่เหล็ก B ในทิศพุ่งเข้าหาและตั้งฉากกับระนาบแผ่นตัวนำบางหรือกระดาษ จะเกิดแรงแม่เหล็ก FB กระทำกับอิเล็กตรอน ทำให้อิเล็กตรอนเบนไปทางขอบด้านบนของแผ่นตัวนำบาง
รูป 1 ค เมื่อเวลาผ่านไปจะมีอิเล็กตรอนถูกผลักไปที่ขอบด้านบนจำนวนมาก ส่วนขอบด้านล่างจะเกิดประจุไฟฟ้าบวกจำนวนมากเช่นกัน การที่มีประจุไฟฟ้าต่างชนิดกันที่ขอบทั้งสอง ทำให้เกิดสนามไฟฟ้า เรียกว่า สนามไฟฟ้าฮอลล์ (hall field) EH ในแผ่นตัวนำบางมีทิศจากขอบด้านล่างไปขอบด้านบน สนามไฟฟ้าจะทำให้เกิดแรงไฟฟ้า FE กระทำกับอิเล็กตรอน ซึ่งจะทำให้อิเล็กตรอนถูกผลักไปทางขอบด้านล่าง เมื่อแรงไฟฟ้าและแรงแม่เหล็กมีขนาดเท่ากัน อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ในทิศไปทางซ้ายโดยไม่เบน
สนามไฟฟ้าที่เกิดในแผ่นตัวนำบางมีความสัมพันธ์กับความต่างศักย์หรือโวลเตจ V ดังนี้
ความต่างศักย์หรือโวลเตจที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า ความต่างศักย์ฮอลล์ (hall potential difference หรือ hall voltage) VH พบว่า ความต่างศักย์ฮอลล์มีค่ามากที่สุด เมื่อแผ่นตัวนำบางทำจากสารกึ่งตัวนำ เช่น ซิลิกอน และเจอร์เมเนียม ส่วนตัวนำไฟฟ้าที่ดี ความต่างศักย์ฮอลล์จะมีค่าน้อยกว่ามาก (เหตุผล พิจารณาได้จากสมการ (7) หรือสมการ (8) ในตอนท้าย)
จากสมการ (1) จะได้ว่า
 


รูป 2 การวัดความต่างศักย์ฮอลล์ VH
เราสามารถวัด VH โดยต่อ มิลลิโวลต์มิเตอร์เข้ากับจุด x และจุด y ดังรูป 2 ก
สภาพขั้วของ VH ทราบได้จากเครื่องหมายที่อ่านได้จาก มิลลิโวลต์มิเตอร์
จากรูป 2 ก พาหะประจุคืออิเล็กตรอนจึงมีประจุลบ ถ้าพาหะประจุมีประจุบวก ทิศของ Vd และ EH จะตรงข้ามกับในรูป 2 ก แต่ทิศของ FB และ EE ยังคงเดิม ดังแสดงในรูป 2 ข ทำให้ประจุบวกถูกผลักไปที่ขอบด้านขวา ส่วนประจุลบถูกผลักไปที่ขอบด้านซ้าย และสภาพขั้วของ VH จะตรงข้ามกับกรณีที่พาหะประจุมีประจุลบ
จากรูป 1 ค ขณะที่แรงแม่เหล็กและแรงไฟฟ้ามีขนาดเท่ากัน เราจะได้
จากสมการ (2) จะได้
เนื่องจากอัตราเร็วลอยเลื่อน Vd มีค่า
เมื่อ n คือจำนวนพาหะประจุต่อลูกบาศก์เมตร (หรือความหนาแน่นของพาหะประจุ)
และ A คือพื้นที่หน้าตัดของแผ่นตัวนำบาง
แทนสมการ (5) ลงในสมการ (4) จะได้
เนื่องจาก  คือความหนาของแผ่นตัวนำบาง ดังนั้น
สมการ (7) เขียนได้ใหม่เป็น
ปริมาณ VHI และ t ในสมการ (8) หาได้จากการวัด ส่วนค่า n ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้ทำหัววัด วัสดุที่เป็นสารกึ่งตัวนำจะมีจำนวนพาหะประจุน้อยกว่าตัวนำไฟฟ้าที่ดี แต่ก็ยังมีค่ามากพอที่จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่สามารถวัดได้ ส่วนฉนวนมีจำนวนพาหะประจุน้อยมาก แต่ก็ยอมให้กระแสไฟฟ้าปริมาณเล็กน้อยผ่าน จากการศึกษาพบว่า สารกึ่งตัวนำที่เจือสิ่งเจือปนมีค่า n  1022m-3 และโลหะทั่วไปมีค่า n  1028m-3 ดังนั้น เราจึงสามารถหาความเข้มของสนามแม่เหล็กที่ไม่ทราบค่าจากสมการ (8) ได้
ความเข้มของสนามแม่เหล็กมีหน่วยในระบบเอสไอเป็นเทสลา (tesla) แทนด้วยสัญลักษณ์ T หน่วยเดิมของความเข้มของสนามแม่เหล็กคือ เกาส์ (gauss) แทนด้วยสัญลักษณ์ G โดยที่ 1T = 104 G

WWW.PCNFORKLIFT.COM

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

การตรวจสอบระบบจุดระเบิด

                            การตรวจสอบระบบจุดระเบิด
          การตรวจหาข้อบกพร่องของระบบจุดระเบิดเพื่อ  วิเคราะห์หาสาเหตุที่เกิดขึ้นและแก้ไขให้ถูกต้องควรทำตามขั้นตอนที่ได้แนะนำไว้ เพื่อจะได้ค้นหาสาเหตุและแก้ไขได้ถูกต้องและรวดเร็วดังนี้
  1.การตรวจสอบสายไฟแรงสูง (สายหัวเทียน) การตรวจสอบสายไฟแรงสูงปฏิบัติได้ดังนี้
    -ทดสอบแรงเคลื่อนไฟแรงสูงโดยใช้มือจับที่ยางหุ้มขั้วสายหัวเทียน ดึงสายหัวเทียนออก และจี้ที่กราว หมุนเครื่องยนต์ทดสอบว่ามีประกายไฟเกิดขึ้นหรือไม่
    -ตรวจค่าความต้านทานสายหัวเทียน (แบบตัวนำเป็นคาร์บอน) ค่าความต้านทานต้องน้อยกว่า 25 กิโลโอห์ม ถ้าค่าความต้านทานมากกว่นี้ ให้เปลี่ยนสายหัวเทียนใหม่
 2.การตรวจสอบหัวเทียน ถอดหัวเทียนออกทำความสะอาดด้วยเครื่องล้างหัวเทียนหรือแปรงลวด ตรวจสอบขั้วอิเล็กโทรดเขี้ยวหัวเทียน เกลียวหัวเทียน  ถ้ามีข้อบกพร่องให้เปลี่ยนหัวเทียนใหม่ ตั้งระยะห่างเขี้ยวหัวเทียนใหม่ให้ถูกต้อง
 3.การตรวจสอบคอยล์จุดระเบิด การตรวจสอบคอยลืจุดระเบิดสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
   -ตรวจสอบความต้านทานขดลวดปฐมภูมิ โดยถอดสายไฟแรงสูงออก ถอดสายไฟที่ไปจานจ่ายออก ค่าความต้านทานของขดลวดปฐมภูมิ 1.3 - 1.6 โอห์ม ถ้าไม่ได้ค่าตามนี้ให้เปลี่ยนใหม่
   -ตรวจสอบความต้านทานขดลวดทุติยภูมิ ค่าความต้านทานของขดลวดทุติยภูมิ 10.7 - 14.5 กิโลโอห์ม  ถ้าไม่ได้ค่าตามนี้ให้เปลี่ยนใหม่
   -ตรวจสอบค่าความต้านทานของตัวความต้านทานภายนอก มีค่าความต้านทานประมาณ 1.3 - 1.5 โอห์ม  ถ้าไม่ได้ตามนี้ให้เปลี่ยนใหม่
   -ตรวจสอบแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่คอยล์จุดระเบิด เปิดสวตช์กุญแจจุดระเบิด ใช้โวลต์มิเตอร์สายบวก(+)จึ้ที่ขั้วบวก(+) ของตัวความต้านทาน  สายลบ (-) จี้ที่กราวด์ แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะต้องได้ 12 โวลต์ ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ให้ตรวจสอบฟิวส์ ขั้วสายไฟ สวิตช์กุญแจจุดระเบิด และสายไฟ  
  4.การตรวจสอบคอยล์จุดระเบิดแบบรวม  การตรวจสอบคอยล์จุดระเบิดแบบรวม (llA)ทำได้ดังนี้
   -ถอดฝาครอบจานจ่าย โรเตอร์ และฝาครอบกันฝุ่นออก
   -ต่อขั้วต่อสายไฟเข้าจานจ่าย
   -ใช้โอห์มมิเตอร์วัดความต้านทานระหว่างขั้วบวก และขั้วลบ ของขดลวดปฐมภูมิ
   -ใช้โอห์มมิเตอร์วัดความต้านทานระหว่างขั้วบวก และขั้วไฟแรงเคลื่อนสูงของขดลวดทุติยภูมิ (ความต้านทาน 10.2 - 13.8 กิโลโอห์ม )
  5.การตรวจสอบชุดช่วยจุดระเบิดของคอยล์จุดระเบิดแบบรวม การตรวจสอบสามารถทำได้ดังนี้
  -ต่อขั้วต่อสายไฟเข้าจานจ่าย
  -บิดสวิตช์จุดระเบิดไปในตำแหน่ง  IG
  -ใช้โวลต์มิเตอร์ตรวจวัดโดยต่อสายวัดบวก เข้ากับขั้วบวก ของคอยล์จุดระเบิด และจี้สายวัดลงกราวด์แรงเคลื่อนไฟฟ้าประมาณ 12 โวลด์
  -ใช้โวลด์มิเตอร์ตรวจวัดทรานซิสเตอร์กำลังในชุดช่วยจุดระเบิด โดยต่อสายวัดบวก เข้ากับขั้วลบ ของคอยล์จุดระเบิด และจี้สายวัดลบ ลงที่กราวด์ แรงเคลื่อนไฟฟ้าประมาณ 12 โวลด์
  -ใช้ถ่านไฟฉายขนาด 1.5 โวลด์ โดยต่อสายไฟสีชมพูเข้ากับขั้วบวก ของถ่านไฟฉายและต่อสายไฟสีขาวเข้ากับขั้วลบ ของถ่านไฟฉาย (แรงคลื่นไฟฟ้าประมาณ 0 - 3 โวลด์)
  -บิดสวิตช์จุดระเบิดไปในตำแหน่ง OFF
 6.การตรวจสอบจานจ่ายของระบบจุดระเบิดแบบรวม สามารถตรวจสอบได้ดังนี้
  -ใช้ฟิลเลอร์เกจวัดระยะห่างระหว่างโรเตอร์กับขดลวดกำเนิดสัญญาณจะต้องมีระยะห่างประมาณ 0.2 -0.4มิลลิเมตร (0.008 - 0.016 นิ้ว )
  -ใช้โอห์มมิเตอร์ตรวจวัดความต้านทานของขดลวดกำเนิดสัญญาณ ความต้านทานประมาณ 140 - 180โอห์ม
  -ถ้าเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้อุปกรณืเร่งไฟอิลเกทรอนิกส์ ให้ใช้โอห์มมิเตอร์วัดความต้านทานระหว่างขั้วดังนี้
  --ความต้านทานขดลวดกำเนิดสัญญาณ G ให้วัดระหว่าง G+ ถึง G- ประมาณ 140 - 180 โอห์ม
  --ความต้านทานขดลวดกำเนิดสัญญาณ Ne ให้วัดระหว่างขั้ว Ne+ ถึง G- ประมาณ 140 - 180 โวลด์ ถ้าความต้านทานไม่ได้ตามที่กำหนดให้เปลี่ยนจานจ่ายใหม่
 7.การตรวจจานจ่ายแบบทรานซีสเตอร์ล้วน การตรวจสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
  * การตรวจสอบเครื่องกำเนิดสัญญาณจานจ่าย
     -ใช้ฟิลเลอร์เกจวัดระยะระหว่างโรเดอร์กำเนิดสัญญาณและขดลวดกำเนิดสัญญาณ แต่ถ้าระยะห่างไม่ได้ตามค่าที่กำหนด ให้ปรับใหม่ด้วยการคลายสกรู 2 ตัว และขยับชุดขดลวดกำเนิดสัญญาณไปจนกระทั่งได้ระยะห่างที่ถูกต้อง จึงล็อคสกรูทั้ง 2 ตัวให้แน่น (ค่ามารตฐานระยะห่างประมาณ 0.2 - 0.4 มิลิเมตร
      -ใช้โอห์มมิเตอร์วัดค่าความต้านทานของขดลวดกำเนิดสัญญาณ (ค่าความต้านทานมาตรฐานอยู่ที่ 140 - 180 โอห์ม )
  * การตรวจสอบชุดเร่งไฟ สามารถทำการตรวจสอบได้ดังนี้
    -ปลดท่อและต่อทอ่สุญญากาศ ตรวจแรงเคลื่อนตัวของชุดเร่งไฟ
    -บิดตัวโรเตอร์ให้เคลื่อนตัวไปตามเข็มนาฬิกาและปล่อย ให้สังเกตุการเคลื่อนตัวกลับในตำแหน่งเดิม ซึ่งเป็นการตรวจการทำงานของชุดเร่งไฟกลไก

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

การวางแผนการแก้ปัญหาช่างยนต์

   เมื่อรถยนต์มีปัญหาขัดข้องขึ้นช่างยนต์ที่ดีจะต้องค้นหาสาเหตุของปัญหา สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ จะต้องสอบถามถึงปัญหา สภาพการณ์และช่วงเวลาที่เกิดปัญหาจากเจ้าของรถผู้ขับขี่ เพื่อที่จะวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและระบุปัญหาได้อย่างแม่นยำ
    หัวข้อสำคัญในการวินิจฉัยปัญหา เช่น ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อไร ที่ไหน สภาพของการขับขี่เป็นอย่างไรและประวัติการซ่อมครั้งที่ผ่านมาว่ารถมีปัญหาอะไร เพื่อนำมาเชื่อมโยงกับปัญหาที่เกิดขึ้นและเป็นข้อมูลในการค้นหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น
   1.การวางแผนการซ่อม
     หลังจากค้นหาปัญหาได้รายละเอียดจากผู้ขับแล้วว่าเกิดจากอะไรต่อจากนั้นจึงเป็นขั้นตอนในการวินิจฉัยและวางแผนการซ่อมว่าควรจะแก้ปัญหาอย่างไร และตรวจสอบได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งสำคัญในการวางแผนการซ่อมคือ
  -ค้นหาสาเหตุที่นำมาซึ่งปัญหา ประการแรก ช่างซ่อมจะต้องประเมิณสาเหตุของข้อขัดข้องอย่างระมัดระวังและพยายามหาสาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง การซ่อมโดยไม่มีความแน่ใจที่แน่ชัดอาจนำไปสู่ความสันสนในที่สุดดังนั้นจึงควรสอบถามผู้ขับขี่ถึงรายละเอียดของปัญหาและค้นหาสาเหตุที่นำมาซึ่งปัญหานั้น
  -มีความเข้าใจในระบบ ช่างซ่อมจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่างๆของรถยนต์ได้เป็นอย่างดี
  -กำหนดสาเหตุที่จะเป็นไปได้ ตรวจสอบดูว่ารถยนต์คันนั้นได้รับการแก้ไขปัญหานั้นมาก่อนหรือไม่และดูสภาพการทำงานของรถยนต์ รวมถึงปัจจัยอื่นๆที่อาจเป็นไปได้เพื่อแยกหาสาเหตุ
  -หลีกเลี่ยงการทำงานโดยไม่จำเป็น การปฏิบัติตามขั้นตอนในการแก้ปัญหาข้อขัดข้องเป็นการช่วยประหยัดเวลา ถ้ามีความเข้าใจและรู้ถึงอาการที่เกิดขึ้นในระบบต่างๆจะทำให้จำนวนหัวข้อที่จะต้องตรวจสอบแก้ปัญหาข้อขัดข้องลดลง
  2.การตรวจซ่อม การตรวจสอบและซ่อมรถยนต์มีวิธีการดังนี้
  -การตรวจสอบบนรถยนต์ เป็นวิธีการค้นหาสาเหตุข้อขัดข้องวิธีหนึ่งเพื่อเป้นการตัดสินสภาพเครื่องยนต์ ระบบบังคับเลี้ยว ระบบรองรับ และระบบเบรกซึ่งในทางปฏิบัตินั้นมันเป็นการยากที่จะใช้ความรู้สึกสังเกตุถึงความผิดปกติของระบบนั้นๆได้ จนกว่าช่างซ่อมจะต้องตรวจสอบบนรถยนต์หรือขับทดสอบเป็นระยะทางที่มากพอ เพื่อนำผลลัพธ์ม่ตรวจสอบ
  -การตรวจสอบเบื้องต้น เป็นหลักเบื้องต้นของการค้นหาสาเหตุข้อขัดข้อง เพื่อศึกษาจุดที่ควรตรวจสอบและทำความเข้าใจถึงโครงสร้างของชิ้นส่วนในแต่ละระบบเหล่านั้นของรถยนต์ เช่น
  *เครื่องยนต์ สิ่งที่ควรตรวจสอบเบื้องต้นคือ น้ำมันเครื่อง น้ำหล่อเย็น แบตเตอรี่ สายพานขับ หัวเทียน จานจ่าย เป็นต้น
  *ระบบบังคับเลี้ยว การตรวจสอบเบื้องต้นคือการสึกหรอของลูกหมาก การสึกหรอของคันชัก-คันส่ง
  *ระบบรองรับ การตรวจสอบเบื้องต้นคือ พวงมาลัยดึงและพวงมาลัยหนักเป็นต้น
  -การจำลองปัญหา บางครั้งเป็นการยากที่สุดที่จะค้นหาสาเหตุปัญหาข้อขัดข้องนั้นได้เนื่องจากไม่มีอาการของปัญหาให้เห็น ซึ่งช่างจะต้องตรวจหาว่าปัญหาที่ผู้ขับขี่ได้ประสบปัญหานั้นมาโดยตลอดเช่น เมื่อเครื่องเย็นหรือขณะรถวิ่ง ปัญหาเหล่านั้นค่อนข้างจะตรวจพบได้ยาก ดังนั้นจึงควรจำลองปัญหา วิธีการนี้เป็นวิธีการตรวจสอบที่ได้ผลโดยการสร้างสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆในขณะที่รถยังจอดอยู่กับที่ ปัญหาที่ทำการจำลองส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับระบบไฟฟ้าของรถยนต์ เช่น ขั้วต่อสายไฟหลวมเมื่อรถวิ่ง หรือปัญหาที่เกิดจากความร้อน การรั่วของน้ำที่เกิดกับกล่องคอมพิวเตอร์ ด้วยเหตุนี้ การจำลองปัญหาที่เกิดกับระบบไฟฟ้าของรถยนต์จึงควรใช้ตารางแสดงปัญหาของแต่ละระบบเป็นการช่วยขจัดสาเหตุอาการของปัญหานั้นให้แคบเข้า
  วิธีการจำลองปัญหา
เช่นวิธีใช้ความร้อน : เมื่อคาดว่าปัญหาอาจเกิดจากความร้อน ทำได้โดย
  -ใช้ไดร์เป่าผมหรือเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายกันเป่าชิ้นส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาที่ทำให้ร้อนขึ้น แล้วตรวจดูว่ามีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่
      ข้อควรระวัง
  *อย่าให้ร้อนเกิน 60 องศา
  *อย่าเป่าลมร้อนไปที่ชิ้นส่วนในกล่องคอมพิวเตอร์โดยตรง
วิธีฉีดน้ำ: เมื่อคาดว่าปัญหาอาจเกิดวันที่ฝนตกหรือในสภาวะความชื้นสูง ทำได้โดย
 ฉีดน้ำให้ทั่วรถ แล้วตรวจสอบดูว่ามีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่
     ข้อควรระวัง
   *อย่าฉีดน้ำเข้าห้องเครื่องยนต์โดยตรง แต่ให้ใช้วิธีลดอุณหภูมิและสร้างความชื้นทางอ้อมด้วยการพ่นละอองน้ำลงที่ผิวด้านหน้าหม้อน้ำแทน
   *อย่าฉีดน้ำไปที่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆโดยตรง
 หมายเหตุ  ถ้ารถนั้นมีแนวโน้มว่าน้ำจะรั่ว น้ำที่รั่วซึมอาจทำให้กล่องคอมพิวเตอร์เสียหายดังนั้นการทดสอบรถที่มีปัญหาน้ำรั่วจึงต้องระวังเป็นพิเศษ
  ปัญหาอื่นๆ: เมื่อปัญหาน่าจะเกิดจากการใช้กระแสไฟเกิน ทำได้โดย
เปิดไฟทั้งหมด รวมถึงพัดลมระบายความร้อน ไฟหน้า ไล่ฝ้ากระจกหลัง แล้วตรวจดูว่ามีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่
    สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างในการจำลองปัญหาเพื่อตรวจสอบปัญหาที่พบได้บ่อยเมื่อรถมีปัญหา
 3. ตารางวิเคราะห์ปัญหาข้อขัดข้อง ตารางการวิเคราะห์ปัญหาข้อขัดข้องเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาสาเหตุของปัญหานั้น จะช่วยให้การแก้ไขข้อขัดข้องแคบเข้าและรวดเร้วสำหรับช่างซ่อม

WWW.PCNFORKLIFT.COM